กลุ่มแคร์คืออะไร


กลุ่มแคร์ คือการที่พี่น้องคริสเตียน 5-12 คน มาร่วมสามัคคีธรรมกลุ่มย่อยกันเป็นประจำทุกสัปดาห์ กลุ่มแคร์ส่วนใหญ่จะพบกันระหว่างสัปดาห์ในสถานที่ที่สะดวกต่อการเดินทาง เช่น ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน ผู้ที่มาร่วมกลุ่มแคร์จะได้รับพระพรจากการมาอธิษฐาน นมัสการ ศึกษาพระคัมภีร์ และรับฟังคำพยานชีวิตหรือประสบการณ์การอวยพรจากพระเจ้าร่วมกัน 
วัตถุประสงค์ของกลุ่มแคร์ คือการส่งเสริมให้เกิดการสามัคคีธรรมระหว่างผู้เชื่อ เพื่อให้ผู้เชื่อได้รับการเสริมสร้างและฝึกฝนฝ่ายจิตวิญญาณ ให้เติบโตขึ้นตามหลักพระคัมภีร์ และเพื่อให้มีการอธิษฐานในกลุ่มย่อย และยังเป็นโอกาสที่ดีที่จะประกาศนำผู้สนใจที่ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้าได้มาร่วมกลุ่มสามัคคีธรรม รับฟังประสบการณ์และรู้จักพระเจ้ามากขึ้นด้วย 

What are Care Groups?
Care Groups consists of 5-12 people who meet weekly. A number of midweek Care Groups are located throughout the local communities. These groups are run by Care Group Leaders. There is worship, teaching and sharing spiritual experience. 
The purposes of Care Groups are to build fellowship and community between fellow believers, to equip people in the Word as well as to pray and to reach out to new or pre-believers. This is a great opportunity to bring non-believers, or friends new to the area. 

สนใจร่วมกลุ่มแคร์ (กลุ่มสามัคคีธรรม)
การประชุมกลุ่มแคร์ 
คริสตจักรมีการประชุมกลุ่มแคร์ในพื้นที่ต่างๆดังต่อไปนี้






 

พระเจ้ามีจริง

พระเจ้ามีจริง???

นักธุรกิจหนุ่มใหญ่คนหนึ่งมัวยุ่งกับงานที่รัดตัวจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองเท่าไหร่นัก ในวันหยุดวันหนึ่งเขามองดูตัวเองในกระจกเห็นผมที่เริ่มยาวและหนวดที่เริ่มไม่เป็นทรงของตัวเอง จึงคิดในใจว่าได้เวลาต้องไปตัดผมแล้ว เขาก็ออกจากบ้านตรงไปยังร้านตัดผมทันที

ขณะที่ช่างตัดผมและแต่งหนวดให้นั้น ช่างก็ชวนคุยเรื่องต่างๆไปเรื่อย แต่ไม่รู้ไปยังไงมายังไงสุดท้ายลงเอยด้วยเรื่องพระเจ้าได้ ช่างตัดผมพูดว่า "ผมไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง"

"ทำไมล่ะ?" นักธุรกิจถาม

"ก็...ง่ายๆเลยนะ คุณลองออกไปข้างนอกโน่นแล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีพระเจ้า อ่ะ...ถ้ามีพระเจ้าจริงนะ บอกผมหน่อย ทำไมถึงมีคนเจ็บป่วยมากมายขนาดนี้? ทำไมมีเด็กกำพร้า เด็กถูกทอดทิ้งเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างนี้? ถ้าพระเจ้ามีจริงก็จะต้องไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน ผมนึกไม่ออกว่าพระเจ้าที่ใครๆบอกว่าเป็นพระเจ้าแห่งความรักจะให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง?"

นักธุรกิจผู้นี้ก็นิ่งคิดในใจว่าจะตอบอย่างไรดี แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นเหตุให้เกิดการทุ่มเถียงกัน

เมื่อช่างได้ตัดผมและแต่งหนวดให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นักธุรกิจผู้นี้ก็จ่ายเงินแล้วตั้งใจว่าจะตรงกลับบ้านเลย แต่ขณะที่ยังยืนอยู่หน้าร้านเขาก็เห็นชายคนหนึ่งผมยาวรุงรัง หนวดเครายาวเฟิ้ม ดูไม่สะอาดสะอ้านเอาซะเลย นักธุรกิจผู้นี้ก็กลับเข้าไปในร้านแล้วพูดกับช่างตัดผมว่า "คุณรู้อะไรมั้ย? ช่างตัดผมไม่มีจริงหรอก"

ช่างตัดผมงง "ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะ ก็ผมนี่ไง! แล้วผมก็เพิ่งจะตัดผมแล้วก็แต่งหนวดให้คุณเมื่อกี๊นี่เอง"

นักธุรกิจพูดต่อ "ไม่หรอก ไม่มีช่างตัดผมจริงหรอก เพราะถ้าช่างตัดผมมีจริง ก็จะต้องไม่มีคนผมยาว หนวดเครายาวรุงรัง ดูอย่างผู้ชายคนที่อยู่ข้างนอกนั่นสิ"

ช่างตัดผมมองไปที่ชายคนนั้นแล้วพูดว่า "โห...แต่ยังไงก็ตาม ช่างตัดผมมีจริงๆ! ก็คนเหล่านั้นเขาไม่ได้มาให้ผมตัดให้นี่"

"ถูกต้อง!" นักธุรกิจตอบอย่างมั่นใจ "ประเด็นอยู่ตรงนั้นแหละ! พระเจ้าก็มีอยู่จริง! แต่คนไม่มาหาพระองค์ ไม่แสวงหาพระองค์ โลกจึงมีความเจ็บปวดทรมานมากมายขนาดนี้"


พระเจ้าผู้ทรงอดทน


สรุปบางส่วนจากหนังสือ "ครอบครัวป่วนรัก" (The Marriage Mess) เขียนโดย Jack T. Chick


กาลาเทีย 5:16-24  ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ...ความอดกลั้นใจ - กาลาเทีย 5:22

ทำไมความอดทนของเราจึงมลายหายไปเมื่อต้องเจอรถติดและไปไม่ทันนัดสำคัญ? หรือเมื่อเรารีบเร่งไปต่อแถวในช่องจ่ายเงินสำหรับ สินค้าไม่เกิน 10 ชิ้นแต่คนที่ยืนอยู่ก่อนเรามีของ 16 ชิ้น! การถูกบีบให้รอคอย ทำให้ความเครียดค่อยๆ เพิ่มขึ้นและทำให้เราหมดความอดทน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเราไม่เพียงแต่ล้มเหลวที่จะอดทน แต่ยังได้ยับยั้งการทำงานของพระวิญญาณในชีวิตของเราด้วย

ความอดทนไม่ได้เป็นเพียงสิ่งดีงาม แต่ยังเป็นผลของพระวิญญาณด้วย (กท.5:22) หมายความว่าการแสดงออกว่าขาดความอดทนทำให้คนอื่นเห็นผลเปรี้ยวแห่งหัวใจที่ล้มเหลวของเรา แทนที่จะเป็นความหวานของพระเยซูในชีวิตของเรา  เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้อดทน เมื่อเราละทิ้งความอดทน เราก็พลาดโอกาสที่จะได้แสดงให้โลกนี้ได้เห็นพระสิริของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของเรา 

การระเบิดอารมณ์มีแต่จะทำให้เห็นว่าเราคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองมากกว่าความลำบาก
และความจำเป็นของผู้อื่น ดังนั้นในช่วงเวลาที่ตึงเครียดให้เราหายใจเข้าลึกๆ
และหันจุดสนใจออกจากตนเอง โดยการรักผู้อื่นด้วยความอดทนแทนการรักตัวเอง

วลีที่บอกว่า เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้อดทน แตะใจเรา รู้สึกเหมือนถูกพระเจ้าเตือนว่า พระเจ้าทรงอดทนอดกลั้นกับความเหลวไหลของเรามาแสนนาน ทั้งสอน ทั้งเตือน ทั้งตี คอยปรับปรุงแก้ไข รอเวลาให้เราเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย นั่นเพราะพระองค์ทรงรักเรา แล้วเราปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ยังไง?

รัก = อดทน+รอคอย ส่วนผสมที่แยกกันไม่ออก ถ้าขาดส่วนไหนไป ความรักนั้นก็ไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริง แต่การอดทนและรอคอยไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้หลายคน รวมทั้งตัวเราเองมักจะจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการของตัวเอง แต่วิธีการของพระเจ้าแตกต่างจากวิธีการของมนุษย์เสมอ แทนที่จะตอบโต้ พระองค์กลับสอนให้เรานิ่งและรอคอยด้วยการอธิษฐาน การยินยอมที่จะทำเช่นนั้นเป็นการฝึกชีวิต และทำให้พระสิริของพระเจ้าสามารถส่องผ่านเราได้

สดุดี 25:7 “ขออย่าทรงนึกถึงบาปในวัยหนุ่มของข้าพระองค์
หรือการละเมิดของข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า..ด้วยเห็นแก่ความดีของพระองค์
ขอทรงนึกถึงข้าพระองค์ด้วยเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์

คำอธิษฐานของดาวิดสะท้อนถึงความต้องการในจิตใจเราด้วยเช่นเดียวกัน เราไม่อยากให้พระเจ้าระลึกถึงความบาปของเรา แต่ต้องการให้พระองค์นึกถึงเราด้วยความรักและการให้อภัย ในทำนองเดียวกันพระเจ้าสอนเราให้มองคนอื่นด้วยความรัก ไม่ใช่มองสิ่งที่เค้ากระทำ พระเจ้าสอนให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนกับที่เราอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา

เรากำลังอยู่ในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง โดยมีแบบอย่างคือองค์พระเยซูคริสต์ เราทุกคนต่างกำลังถูกสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายของพระองค์ผู้ทรงสร้างเรา ซึ่งเมื่อเรายินยอมที่จะฟังและเรียนรู้เพื่อ ที่จะเติบโตขึ้น เราก็จะพบว่าเราไม่ได้กำลังเผชิญสถานการณ์เหล่านี้เพียงลำพัง แต่เรามีผู้ช่วยคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่คอยเสริมกำลังให้กับเรา และโดยทางพระองค์นั้นเราก็ได้รู้ว่า พระบิดาในสวรรค์ก็ได้ทรงส่งกำลังใจผ่านข้อความต่างๆเหล่านี้มาถึงเราและทรงกำลังลุ้นให้ลูกๆของพระองค์ผ่านด่าน

ไม่ว่าในวันนี้ จุดอ่อน ของเราแต่ละคนคืออะไร อย่าท้อใจ แต่โปรดจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่กิ่งก้านเสียที่พระเจ้ากำลังค่อยๆ ลิดมันออกไปทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้เราเป็นต้นที่สมบูรณ์สวยงามพร้อมที่จะเกิดผล การลิดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และบางครั้งเราต้องยอมตายต่อตัวเอง ยอมทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เพื่อให้กำแพงบางอย่างในใจเราถูกพังลง แล้วพระเจ้าจะทรงใส่สิ่งใหม่เข้าไปแทนที่ แล้ว ชีวิตที่เป็นกลิ่นหอม จะกลายเป็นคำจำกัดความถึงตัวเราในที่สุด


สรุปคำแบ่งปันโดย น้องเปิ้ล ไอริณ 

การอธิษฐาน..พันธกิจเพื่อพระเจ้าและเพื่อผู้อื่น

เราต้องอธิษฐานหรือ
·         การอธิษฐานไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ  หรือทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่เป็นสิทธิพิเศษที่เราผู้ซึ่งเป็นสาวกของพระเยซูได้รับอนุญาตให้มาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า และได้พูดคุยกับพระองค์ ผู้เป็นกษัตริย์และยังเป็นพ่อและเพื่อนของเรา ผู้ซึ่งบริสุทธิ์และทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เต็มใจที่จะฟังเราผู้เป็นคนบาปและทำผิดต่อพระองค์
·         การอธิษฐานทำให้เราเติบโตฝ่ายวิญญาณ  เพราะเป็นการปลดปล่อย การให้อภัย เป็นกำลังและ สันติสุข
·         การอธิษฐานทำให้เราร่วมมือกับพระเจ้า
- พระเจ้าทรงผูกพันทำพันธสัญญากับเราที่จะตอบคำอธิษฐานนั้น ( ลก 11:9-10)
- พระเจ้าเต็มใจที่จะเปลี่ยนแผนการของพระองค์เพื่อตอบสนองคำอธิษฐานของเรา  (ปฐุก18:20-32,
  อพย 32:9-14, 2พกษ 20:1-6)
- โดยผ่านคำอธิษฐานนั้น  อาณาจักรของพระเจ้าสามารถมาตั้งอยู่บนโลกได้อย่างเต็มที่ มธ 6:10
- ความเป็นไปได้ของคำอธิษฐาน นั่นไม่มีขอบเขตจำกัด  เพราะพระเจ้าไม่มีขอบเขตจำกัด  (รม8:32)
·         คำอธิษฐานทำให้เราได้รู้จักพระเจ้า  และดังนั้นเราจึงสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ได้  ยิ่งเราใช้เวลากับพระองค์มากเท่าไร  เราก็จะรู้จักพระองค์มากขึ้น  และรู้และเข้าใจวิถีทางและแผนการของพระองค์มากขึ้น (กจ 10:1-21)
·         คำอธิษฐาน นำพระสิริมาสู่พระเจ้า พระบิดา (ยน 14:13)- 13สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา   เราจะกระทำสิ่งนั้น   เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร
·         เราควรอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง (  1ธส 5:17) 17จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
·         โดยคำอธิษฐานเราสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (อสค 22:30)
·         โดยคำอธิษฐานเราสามารถอวยพรผู้อื่น (1ซมอ 12:19)
·         เราต้องมีส่วนร่วมในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น  (อสค 22:30 , อสย 59:16)  เมื่อเรายืนอยู่ตรงช่องว่างระหว่างพระเจ้ากับผู้ที่เราอธิษฐานเผื่อ  และจริงจังในสิ่งที่เราอธิษฐาน

เราจะอธิษฐานกับใคร

·         ตามลำพัง (มธ 6:6)

·         อธิษฐานกับคนอื่น  (กจ 1:14 , 2:42)  (มัทธิว 18:20) เราต้องมั่นใจว่า เรามีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะถ้าพี่น้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  พระเจ้าจะอวยพร  (สดุดี 133:1-3)


อุปสรรคต่อการอธิษฐานที่เกิดผล
  • การไม่ให้อภัย (มก 11:25)
  • ความไม่เชื่อ (ฮบ 11:6)
  • ความสงสัย / ขาดความเชื่อ (ยากอบ 1:6-8)
  • ความเกียจคร้าน (ยากอบ 4:2)
  • แรงจูงใจผิด (ยากอบ 4:3)
  • มีความบาปที่ยังไม่ได้สารภาพ (1ยน 1:7-9 , อสย 59:1-2)

ผีมารซาตานเกรงกลัวคนที่อธิษฐาน  เพราะว่า
  • คำอธิษฐานนำการเกิดผลและนำฤทธิ์เดชพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเราในฐานะสาวกพระเยซู
  • คนอธิษฐานจะสามารถต่อสู้พญามาร และเอาชนะแผนการร้ายต่างๆ หากพวกเขาเข้าใจในสิทธิอำนาจ ที่พวกเขามีในพระคริสต์  (ยก 4:7),(ปต 5:8-9),(มัทธิว 26:41)
  • คำอธิษฐานนำเราเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับพระเจ้า  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผีมารไม่ต้องการ  ดังนั้นซาตานจึงพยายามอย่างมากที่จะทำให้เราไม่มีชีวิตอธิษฐานให้ได้  หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้เป็นชีวิตอธิษฐานที่ไม่มีประสิทธิภาพ  เครื่องมือที่ผีมารใช้ก็คือ  สิ่งที่มารบกวน  การล่อลวง  ความคิดที่ไม่ดี  การปรักปรำ  ความสงสัย  ความกลัว  และสิ้นหวัง เป็นต้น


การอธิษฐานแบบห้านิ้ว


เนื่องจากการอธิษฐานเป็นการสนทนากับพระเจ้า รูปแบบหรือวิธีการอธิษฐานของเราแต่ละคนจึงอาจแตกต่างกันตามธรรมชาติความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าพระบิดาผู้ที่เรารักและบูชา การอธิษฐานแบบห้านิ้วนี้ เป็นเพียงตัวอย่างวิธีอธิษฐานที่จะช่วยให้เรานำพระพรไปสู่คนหลากหลายกลุ่มที่ต้องการคำอธิษฐานของเรา 
1. นิ้วหัวแม่มือ จะอยู่ใกล้ตัวที่สุด ดังนั้น ให้คุณอธิษฐานเผื่อคนที่ใกล้ชิดที่สุดก่อน นั่นก็คือคนที่คุณรักและครอบครัว (ฟป .1:3-5) 
2. นิ้วชี้ เป็นนิ้วที่ใช้ชี้ทาง ให้คุณอธิษฐานเผื่อผู้ที่ต้องสอนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์ ผู้เทศนา และผู้ที่ต้องสอนเด็กๆ (1 ธส .5:25) 
3. นิ้วกลาง สูงที่สุด ให้อธิษฐานเผื่อผู้มีสิทธิอำนาจเหนือคุณ ทั้งผู้นำประเทศและผู้นำท้องถิ่น ผู้นำในคริสตจักร จนถึงผู้บังคับบัญชางานของคุณ (1 ทธ .2:1-2) 
4. นิ้วนาง นิ้วที่อ่อนแอ ดังนั้น ให้คุณอธิษฐานเผื่อผู้ที่กำลังประสบปัญหาหรือความทุกข์ยากลำบาก (ยก. 5:13 -16) 
5. นิ้วก้อย มีขนาดเล็กที่สุด ย้ำเตือนถึงคนที่ควรให้ความสำคัญน้อยที่สุด (เพราะโดยธรรมชาติเรามักจะนึกตัวเองก่อน) ให้อธิษฐานเผื่อสำหรับตัวคุณเอง ( ฟป .4:6 ,19 ) 

เคล็ดไม่ลับกับการอธิษฐาน




1. แบ่งเวลาไว้อย่างน้อยวันละ 2-3 นาที ทุกๆ วัน ไม่ต้องพูดอะไร ฝึกหัดคิดถึงพระเจ้า วิธีนี้จะช่วยให้จิตวิญญาณของคุณเปิดรับพระองค์ 
2. ให้อธิษฐานด้วยคำง่ายๆที่เป็นธรรมชาติ ทูลต่อพระเจ้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในความคิดของคุณ ไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์สูง สนทนากับพระเจ้าในภาษาของคุณ พระองค์ทรงเข้าใจ 
3. อธิษฐานตลอดวัน ในทุกๆที่เท่าที่เป็นไปได้ เช่น ในรถ หรือที่โต๊ะทำงานของคุณ ใช้วิธีการอธิษฐานสั้นๆ โดยการหลับตาลงครู่หนึ่ง ปิดทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างคุณออกไปให้หมด แล้วนึกถึงว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างคุณ วิธีนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา 
4. อย่าเอาแต่ขออย่างเดียว เมื่อคุณอธิษฐาน ควรที่จะขอบคุณพระเจ้าถึงพระพรที่พระองค์ได้ทรงประทานให้ด้วย และที่สำคัญที่สุด การอธิษฐานคือการสนทนา เป็นการสื่อสาร 2 ทาง ไม่ใช่เป็นการพูดของเราฝ่ายเดียว เราควรรอคอยฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่มาถึงเราด้วย 
5. อธิษฐานด้วยความเชื่อว่า คำอธิษฐานนั้นจะสำเร็จ และเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า 
6. อย่าคิดในทางลบขณะอธิษฐาน ควรคิดในทางดีเท่านั้น 
7. ต้องแสดงออกถึงการยอมรับน้ำพระทัยพระเจ้า ทูลขอในสิ่งที่คุณต้องการ แต่ก็พร้อมที่จะรับคำตอบหรือสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้ ซึ่งอาจจะต่างจากสิ่งที่คุณขอ แต่ดีที่สุดสำหรับคุณ 
8. สร้างทัศนคติในการยอมมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทูลขอต่อพระองค์ให้ประทานความสามารถในการทำดีที่สุด แต่ด้วยความวางใจ ปล่อยให้ผลนั้นเกิดขึ้นตามน้ำพระทัยพระเจ้า 
9. อธิษฐานเผื่อบุคคลที่คุณไม่ชอบหรือคนที่ทำไม่ดีต่อคุณ ความขุ่นข้องหมองใจนั้นเป็นเครื่องกีดขวางพลังการอธิษฐานอันดับต้นๆเลยทีเดียว 
10. ทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่คุณอธิษฐานเผื่อ ยิ่งคุณอธิษฐานเผื่อคนอื่น
มากเพียงใด ผลของคำอธิษฐานก็จะย้อนกลับมาสู่คุณมากเท่านั้น

บุคลิกของผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ (สรุปคำแบ่งปัน NHIC)


ความไม่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ นำปัญหามากมายมาสู่ชีวิตครอบครัว การงาน  และการรับใช้พระเจ้าหลายคนเข้าใจผิดว่า การเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณหมายถึง อายุความเชื่อที่มาก บุคลิกภายนอกที่ดูดีและเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้พระคัมภีร์มาก การมีศึกษาสูงหรือการประสบความสำเร็จในชีวิต (ฮีบรู 6:1)
แต่การเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณที่แท้จริงตามพระคัมภีร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติและบุคลิก
ผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณอย่างแท้จริงต้องมีบุคลิกดังนี้

1. มีความคิดในแง่บวกหรือมองโลกในแง่ดีเมื่ออยู่ภายใต้ภาวะกดดัน
เราตอบสนองอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้ความกดดัน วิตกกังวล หดหู่ ฉุนเฉียว
ยากอบ1:2-4 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่าการทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย
เราควรขอบคุณพระเจ้าและหนักแน่นเสมอ เมื่อเผชิญการทดลองเพราะความยากลำบากเหล่านั้นจะช่วยเปลี่ยนแปลงบุคลิกของเราให้เหมือนพระเยซูมากขึ้น
ยากอบ1:12 คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์

2. ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น
ยากอบ2:8 ถ้าท่านทั้งหลายบำเพ็ญตนตามพระบัญญัติโดยแท้จริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองแล้ว ท่านทั้งหลายก็ประพฤติดีอยู่
คนที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณจะไม่เพียงแต่มองความรู้สึกหรือความต้องการของตนเท่านั้นและรวมถึงการไม่ลำเอียงด้วย
ยากอบ2:1-6...จงอย่าลำเอียงเพราะว่าถ้ามีคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและแต่งตัวดีเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และมีคนจนคนหนึ่งแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาด้วย และท่านสนใจคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดี และกล่าวโอภาปราศรัยกับเขาว่าเชิญท่านนั่งที่นี่เถิด ในขณะเดียวกันท่านก็พูดกับคนจนนั้นว่าแกจงยืนอยู่ที่นั่นหรือจงนั่งแทบเท้าของเราเถิด ท่านมิแบ่งชั้นวรรณะและวินิจฉัยด้วยใจชั่วหรือ พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าจงฟังเถิดพระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อและให้เป็นผู้รับมรดกแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ..
เอเฟซัส4:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
1 โครินธิ์ 13:1-3..แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรักจะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่  
มัทธิว25:31-40..พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคารท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา' เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้าที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำและได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคารและได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้   ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย' พระเจ้าจะตัดสินเราจากสิ่งที่เราปฎิบัติต่อผู้อื่น ไม่ใช่จากความมากหรือน้อยในการไปคริสตจักรหรือการจดจำพระคำของพระเจ้า


3. สามารถควบคุมปากและลิ้นของตนเองได้

ยากอบ 3:2 เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆอย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย
ยากอบ 1: 26 ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเป็นคนมีธัมมะและมิได้สงบปากคำ แต่หลอกลวงตัวเอง ธัมมะของผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์
  • การควบคุมตนเองได้ เริ่มต้นจากการควบคุมลิ้น ลิ้นถูกเปรียบเหมือนหางเสือเรือที่สามารถกำหนดทิศทางชีวิตได้
  • เราควรพูดด้วยคำพูดที่หนุนจิตชูใจ และด้วยความรัก หมายความว่า
            พูดด้วยทัศนคติและแรงจูงใจที่ถูกต้อง เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม


4. เป็นผู้สร้างสันติสุข

ยากอบ 4:1 อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และอะไรเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน   มิใช่กิเลสตัณหาของท่านหรือ ที่ทำให้ท่านต่อสู้กัน
  • ผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณมักไม่มีปัญหาความขัดแย้งกับผู้อื่น อ.เปาโลพูดกับคริสตจักร     โครินธ์ถึงเรื่องการไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ เพราะพวกเขามีปัญหาความขัดแย้งมากมาย

สาเหตุของปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างสามีภรรยา เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมรับใช้
1.ความเห็นแก่ตัว รากปัญหาของความเห็นแก่ตัวมาจากความเย่อยิ่ง ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด
ยากอบ 4:3 ท่านขอและไม่ได้รับ   เพราะท่านขอผิด   หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน
คำอธิษฐานสามารถเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเห็นแก่ตัวเพราะมักจะขอเพื่อตนเองเท่านั้น
สุภาษิต 13:10 เพราะความทะลึ่งผู้ประมาทจึงก่อวิวาท แต่ปัญญาอยู่กับบรรดาผู้ที่รับคำแนะนำ  
2. การตัดสินกันและกัน
ยากอบ 4:11-12 พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็กล่าวร้ายต่อธรรมบัญญัติ และตัดสินธรรมบัญญัติ แต่ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน มีผู้ทรงตั้งธรรมบัญญัติและผู้ทรงพิพากษาตัดสินแต่เพียงองค์เดียว คือพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเราให้รอดได้ และทรงสามารถทำลายเราได้ แต่ท่านเป็นผู้ใดเล่า ท่านจึงตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน
สาเหตุที่เราไม่ควรตัดสินกันเพราะ
- เราไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าเท่านั้นที่มีข้อมูลครบถ้วนของผู้ที่เราตัดสิน
- เราไม่รู้แรงจูงใจที่แท้จริงของการกระทำของผู้ที่เราตัดสิน


5. เป็นคนที่อดทนและเป็นนักอธิษฐาน

ยากอบ 5:7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู
ยากอบ 5:11 จงดู เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด
ยากอบ 5:16 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน   เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล

  • พระคัมภีร์ใช้ชาวนาเป็นตัวอย่างของความอดทน เพราะพวกเขาต้องรอคอยผลผลิตอย่างอดทน ปลูกและหว่าน รอคอยด้วยความหวังและการอธิษฐาน
  • ความหมายของคำว่า ยังไม่ถึงเวลา ไม่ได้มีความหมายว่าไม่ได้ หากแต่ต้องใช้เวลาในการรอคอยอย่างอดทน เมื่อพระเจ้าตรัสว่ายังไม่ถึงเวลา พระองค์ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้ แต่พระองค์ต้องการให้รอคอย

กุญแจแห่งการเจริญรุ่งเรือง: สร้างพื้นฐานที่มั่นคง (สรุปคำแบ่งปันจาก NHIC)


อย่าพยายามสร้างบ้านโดยไม่ได้วางพื้นฐานที่แข็งแรงเสียก่อน ถ้าคุณไม่วางพื้นฐานที่มั่นคงแล้ว สิ่งใดที่คุณพยายามสร้างก็จะพังลงมา 

คนเรามักอยากจะเห็นการอวยพรที่พระเจ้าได้สัญญาและกระตือรือร้นที่จะรับพรนั้น แต่ไม่สนใจพื้นฐานการมีชีวิตตามอย่างพระเจ้า เมื่อมาถึงเรื่องความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่ง บ่อยครั้งอยากให้ถ้อยคำพระเจ้าเกิดผลไวอย่างไมโครเวฟ  จึงหยิบข้อพระคัมภีร์มาสองสามข้อ แล้วเริ่มที่จะเชื่อโดยไม่ยอมที่จะให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นๆในชีวิตของเขา แน่นอนมันจะไม่เกิดผล แล้วคนเหล่านั้นก็พากันผิดหวัง  บางครั้งสรุปว่าพระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้พวกเขาเจริญรุ่งเรือง ถ้อยคำของพระเจ้าคือพระประสงค์ของพระองค์  และนี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าพูดไว้ 3ยอห์น1:2  ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีพลานามัยสมบูรณ์ และเจริญสุขทุกประการ อย่างจิตวิญญาณของท่านจำเริญอยู่นั้น

เป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้เราเติบโตด้านการเงินพร้อมๆกับการเติบโตทางฝ่ายวิญญาณของเรา  พระเจ้ารู้ว่าเป็นสิ่งอันตรายมากที่จะมอบความมั่งคั่งให้อยู่ในการดูแลของคนที่ไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ

จงแสวงหาราชอาณาจักรของสวรรค์ก่อน

คุณต้องหลุดออกจากสิ่งต่างๆของเนื้อหนังก่อน สิ่งเหล่านี้คือ ตัณหาของตา ตัณหาของเนื้อหนัง และความหยิ่งของชีวิต  ถ้าคุณไม่โตในฝ่ายวิญญาณ สถานภาพทางการเงินของคุณ จะไม่เกิดขึ้น
พื้นฐานของความเจริญรุ่งเรืองสร้างอยู่บนถ้อยคำของพระเจ้า คือ การทำในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้คุณทำ การคิดในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้คุณคิด และ การพูดในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้คุณพูด

เมื่อเรานำหลักการของพระเจ้าไปใช้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ความเจริญรุ่งเรืองก็จะเกิดขึ้นแน่นอน  เพราะว่าคุณรักพระเจ้า และต้องการทำตามพระประสงค์ของพระองค์และเชื่อฟังพระองค์
มัทธิว 6:25-33 "..แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้อย่าเป็นกังวล พระเจ้าจะดูแลคุณ!!

พันธสัญญาที่ท่านมีกับพระเจ้า:ถ้าเรามีพันธสัญญากับพระเจ้าและหากเราเชื่อฟังและติดตามพระเจ้า พระองค์จะอวยพรคุณ! พันธสัญญาที่พระเจ้ามีให้กับเราคือ ให้เราเจริญรุ่งเรืองทั้งฝ่ายวิญญาณจิต และร่างกาย ตลอดทั้งการเงินด้วย มัทธิว 16:25  1โครินธ์ 3:11 ลูกา 6:47-49 

เราไม่ควรติดหนี้ใครเลย: โรม 13:8  สุภาษิต 10:22 

จงรักซึ่งกันและกัน การที่เราจะเจริญรุ่งเรืองได้ คุณต้องเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า  และคำสั่งเดียวที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จคือ  คำสั่งที่ให้เรารักซึ่งกันและกัน (1เปโตร3:8-11)ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร เพราะว่าผู้ที่จะรักชีวิตและปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นยั้งลิ้นของตนไม่พูดสิ่งชั่ว และห้ามปากไม่ให้พูดเป็นอุบายล่อลวง ให้เขาละความชั่วและกระทำความดี ให้เขาใฝ่หาสันติสุขและมุ่งดำเนินไป ยอห์น 13:34-35  เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"

            ถ้าคุณไม่เดินในความรักที่แท้จริง  (1โครินธ์ 13:4-8) คุณจะไม่เจริญรุ่งเรือง!

มีความซื่อสัตย์ (Faithfulness) และความซื่อตรง (Honesty) คนที่ซื่อสัตย์จะเต็มไปด้วยการอวยพร  ความซื่อตรง คือ พูดความจริงและปฏิบัติในความจริงทุกสิ่ง พระเยซูเป็นทางความจริงและชีวิต ติดตามพระเยซูแล้วคุณจะพบความจริง แล้วความจริงจะนำคุณมาสู่ชีวิต!
สุภาษิต 28:20  คนที่ซื่อสัตย์จะได้รับพรมากมาย แต่ผู้ที่รีบมั่งคั่งจะไม่มีโทษหามิได้
ลูกา16:10 คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย และคนที่อสัตย์ในของเล็กน้อย จะอสัตย์ในของมากเช่นกัน