บุคลิกของผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ (สรุปคำแบ่งปัน NHIC)


ความไม่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ นำปัญหามากมายมาสู่ชีวิตครอบครัว การงาน  และการรับใช้พระเจ้าหลายคนเข้าใจผิดว่า การเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณหมายถึง อายุความเชื่อที่มาก บุคลิกภายนอกที่ดูดีและเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้พระคัมภีร์มาก การมีศึกษาสูงหรือการประสบความสำเร็จในชีวิต (ฮีบรู 6:1)
แต่การเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณที่แท้จริงตามพระคัมภีร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติและบุคลิก
ผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณอย่างแท้จริงต้องมีบุคลิกดังนี้

1. มีความคิดในแง่บวกหรือมองโลกในแง่ดีเมื่ออยู่ภายใต้ภาวะกดดัน
เราตอบสนองอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้ความกดดัน วิตกกังวล หดหู่ ฉุนเฉียว
ยากอบ1:2-4 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่าการทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย
เราควรขอบคุณพระเจ้าและหนักแน่นเสมอ เมื่อเผชิญการทดลองเพราะความยากลำบากเหล่านั้นจะช่วยเปลี่ยนแปลงบุคลิกของเราให้เหมือนพระเยซูมากขึ้น
ยากอบ1:12 คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์

2. ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น
ยากอบ2:8 ถ้าท่านทั้งหลายบำเพ็ญตนตามพระบัญญัติโดยแท้จริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองแล้ว ท่านทั้งหลายก็ประพฤติดีอยู่
คนที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณจะไม่เพียงแต่มองความรู้สึกหรือความต้องการของตนเท่านั้นและรวมถึงการไม่ลำเอียงด้วย
ยากอบ2:1-6...จงอย่าลำเอียงเพราะว่าถ้ามีคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและแต่งตัวดีเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และมีคนจนคนหนึ่งแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาด้วย และท่านสนใจคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดี และกล่าวโอภาปราศรัยกับเขาว่าเชิญท่านนั่งที่นี่เถิด ในขณะเดียวกันท่านก็พูดกับคนจนนั้นว่าแกจงยืนอยู่ที่นั่นหรือจงนั่งแทบเท้าของเราเถิด ท่านมิแบ่งชั้นวรรณะและวินิจฉัยด้วยใจชั่วหรือ พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าจงฟังเถิดพระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อและให้เป็นผู้รับมรดกแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ..
เอเฟซัส4:29 อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง
1 โครินธิ์ 13:1-3..แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรักจะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่  
มัทธิว25:31-40..พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก เพราะว่าเมื่อเราหิวท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคารท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา' เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า 'พระองค์เจ้าข้าที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำและได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคารและได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้   ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย' พระเจ้าจะตัดสินเราจากสิ่งที่เราปฎิบัติต่อผู้อื่น ไม่ใช่จากความมากหรือน้อยในการไปคริสตจักรหรือการจดจำพระคำของพระเจ้า


3. สามารถควบคุมปากและลิ้นของตนเองได้

ยากอบ 3:2 เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆอย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย
ยากอบ 1: 26 ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเป็นคนมีธัมมะและมิได้สงบปากคำ แต่หลอกลวงตัวเอง ธัมมะของผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์
  • การควบคุมตนเองได้ เริ่มต้นจากการควบคุมลิ้น ลิ้นถูกเปรียบเหมือนหางเสือเรือที่สามารถกำหนดทิศทางชีวิตได้
  • เราควรพูดด้วยคำพูดที่หนุนจิตชูใจ และด้วยความรัก หมายความว่า
            พูดด้วยทัศนคติและแรงจูงใจที่ถูกต้อง เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม


4. เป็นผู้สร้างสันติสุข

ยากอบ 4:1 อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และอะไรเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน   มิใช่กิเลสตัณหาของท่านหรือ ที่ทำให้ท่านต่อสู้กัน
  • ผู้ที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณมักไม่มีปัญหาความขัดแย้งกับผู้อื่น อ.เปาโลพูดกับคริสตจักร     โครินธ์ถึงเรื่องการไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ เพราะพวกเขามีปัญหาความขัดแย้งมากมาย

สาเหตุของปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างสามีภรรยา เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมรับใช้
1.ความเห็นแก่ตัว รากปัญหาของความเห็นแก่ตัวมาจากความเย่อยิ่ง ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด
ยากอบ 4:3 ท่านขอและไม่ได้รับ   เพราะท่านขอผิด   หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน
คำอธิษฐานสามารถเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเห็นแก่ตัวเพราะมักจะขอเพื่อตนเองเท่านั้น
สุภาษิต 13:10 เพราะความทะลึ่งผู้ประมาทจึงก่อวิวาท แต่ปัญญาอยู่กับบรรดาผู้ที่รับคำแนะนำ  
2. การตัดสินกันและกัน
ยากอบ 4:11-12 พี่น้องทั้งหลายอย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็กล่าวร้ายต่อธรรมบัญญัติ และตัดสินธรรมบัญญัติ แต่ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน มีผู้ทรงตั้งธรรมบัญญัติและผู้ทรงพิพากษาตัดสินแต่เพียงองค์เดียว คือพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยเราให้รอดได้ และทรงสามารถทำลายเราได้ แต่ท่านเป็นผู้ใดเล่า ท่านจึงตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน
สาเหตุที่เราไม่ควรตัดสินกันเพราะ
- เราไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าเท่านั้นที่มีข้อมูลครบถ้วนของผู้ที่เราตัดสิน
- เราไม่รู้แรงจูงใจที่แท้จริงของการกระทำของผู้ที่เราตัดสิน


5. เป็นคนที่อดทนและเป็นนักอธิษฐาน

ยากอบ 5:7 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู
ยากอบ 5:11 จงดู เราถือว่าผู้ที่อดทนก็เป็นสุข ท่านได้รู้เรื่องความอดทนของโยบ และได้เห็นแล้วว่าในที่สุดปลายนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาสักเท่าใด
ยากอบ 5:16 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน   เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล

  • พระคัมภีร์ใช้ชาวนาเป็นตัวอย่างของความอดทน เพราะพวกเขาต้องรอคอยผลผลิตอย่างอดทน ปลูกและหว่าน รอคอยด้วยความหวังและการอธิษฐาน
  • ความหมายของคำว่า ยังไม่ถึงเวลา ไม่ได้มีความหมายว่าไม่ได้ หากแต่ต้องใช้เวลาในการรอคอยอย่างอดทน เมื่อพระเจ้าตรัสว่ายังไม่ถึงเวลา พระองค์ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้ แต่พระองค์ต้องการให้รอคอย